อย่ารอให้ใครเข้าใจคุณ คุณต้องเข้าใจตัวเองก่อน


ในการใช้ชีวิตในสังคม หลายครั้งเรามักจะคาดหวังให้คนอื่นเข้าใจความรู้สึก ความคิด และการกระทำของเรา แต่ในเส้นทางของ สุขภาพจิต สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการ ที่คุณต้องเข้าใจตัวเองก่อน เพราะเป็นไปไม่ได้ที่คนอื่นจะเข้าใจคุณอย่างสมบูรณ์ หากคุณเองยังไม่เข้าใจสภาพจิตใจของตัวเองอย่างชัดเจน

สุขภาพจิตกับการเข้าใจตนเอง (Self-Understanding)

สุขภาพจิตคืออะไร? สุขภาพจิตคือภาวะความเป็นอยู่ที่ดีทางด้านอารมณ์ จิตใจ และสังคม ซึ่งส่งผลต่อวิธีคิด ความรู้สึก และการกระทำของเรา และช่วยกำหนดว่าเราจะรับมือกับความเครียดอย่างไร เกี่ยวข้องกับผู้อื่นอย่างไร และตัดสินใจอย่างไร

ทำไมการเข้าใจตนเองถึงสำคัญ? การเข้าใจตนเอง (Self-Awareness) คือการรับรู้และเข้าใจอย่างชัดเจนถึง อารมณ์, จุดแข็ง, จุดอ่อน, ค่านิยม, ความต้องการ, สิ่งกระตุ้น (Triggers) และเป้าหมาย ของตนเอง มันเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับสุขภาพจิตที่ดี เมื่อคุณเข้าใจตัวเอง คุณจะสามารถระบุสภาพจิตใจของตัวเองได้อย่างถูกต้อง และให้การดูแลตนเอง (Self-Care) ที่จำเป็นได้

อาการและสัญญาณของความไม่สบายใจทางจิตใจ

การเข้าใจตนเองเริ่มต้นจากการสังเกตสัญญาณและอาการที่เกิดขึ้นในจิตใจของคุณ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าของปัญหาสุขภาพจิต

1. ด้านอารมณ์ (Emotional)

  • รู้สึกเศร้าหรือหดหู่มากเกินไป หรือรู้สึกเครียดอยู่ตลอดเวลา

  • อารมณ์แปรปรวนอย่างรุนแรง (เช่น ตื่นเต้นมากเกินไปและซึมเศร้าอย่างกะทันหัน)

  • รู้สึกผิด หรือตำหนิตัวเองอย่างมาก

  • ความสนใจลดลง ในกิจกรรมที่เคยสนุกสนาน

2. ด้านความคิด (Cognitive)

  • สมาธิลดลง, ไม่สามารถคิดได้อย่างชัดเจน

  • รู้สึกหมดหวังสำหรับอนาคต หรือคิดว่าทุกอย่างเลวร้าย

  • มีความคิดฆ่าตัวตาย หรือทำร้ายตัวเอง

  • วิตกกังวลอยู่เสมอ, มีความคิดเชิงลบเข้าครอบงำ

3. ด้านพฤติกรรม (Behavioral)

  • ถอนตัวออกจากเพื่อนและกิจกรรมทางสังคม (แยกตัว)

  • การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินอย่างมาก (กินมากไปหรือน้อยไป)

  • ปัญหาการนอนหลับ (นอนไม่หลับ หรือนอนมากเกินไป)

  • มีการใช้สารเสพติดหรือแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น

  • ความสามารถในการจัดการกิจวัตรประจำวันลดลง

การป้องกันและจัดการสุขภาพจิตผ่านการเข้าใจตนเอง

เมื่อคุณมีความเข้าใจตนเองแล้ว การหลีกเลี่ยงหรือจัดการกับภาวะความไม่สบายใจจะง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น หากคุณรู้ว่าเมื่อคุณเครียด คุณจะนอนไม่หลับ คุณสามารถจัดการเวลานอนของคุณล่วงหน้าได้ ก่อนที่มันจะกลายเป็นอาการของโรคซึมเศร้า

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง

  1. การหลีกเลี่ยงอารมณ์ (Emotional Avoidance): แทนที่จะพยายามหลีกหนีหรือเก็บซ่อนความวิตกกังวลหรือความเศร้า ให้รับรู้และทำความเข้าใจกับมัน

  2. การทำงานหนักเกินไป: กำหนดขอบเขต (Boundary) ของตัวเอง ให้เวลาตัวเองได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ

  3. การพึ่งพาสารเสพติดและแอลกอฮอล์: การใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อจัดการความเครียดหรืออารมณ์ในระยะสั้นจะทำให้สุขภาพจิตในระยะยาวแย่ลง

สิ่งที่ควรทำ

  1. การเขียนบันทึก (Journaling): บันทึกความคิด อารมณ์ และสถานการณ์ที่เกิดขึ้น คุณจะเริ่มเห็นว่าอะไรคือสิ่งกระตุ้น (Triggers) อารมณ์ของคุณ

  2. ให้ความสำคัญกับการดูแลตนเอง (Self-Care): การนอนหลับให้เพียงพอ การรับประทานอาหารที่ดี และการออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางร่างกายและจิตใจ (Resilience)

  3. การฝึกสติและการทำสมาธิ (Mindfulness and Meditation): ฝึกฝนการอยู่กับปัจจุบันและสังเกตความรู้สึกภายในเพื่อทำความเข้าใจตัวเองให้มากขึ้น

  4. ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ: หากอาการของคุณส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน หรือมีอาการนานกว่าสองสัปดาห์ ควรปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต (นักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์) ขั้นตอนต่อไปของการเข้าใจตนเองคือการสำรวจอย่างลึกซึ้งด้วยความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ

References
World Health Organization (WHO) - Mental Health Strengthening Our Response:
https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/mental-health-strengthening-our-response
National Institute of Mental Health (NIMH) - Caring for Your Mental Health:
https://www.nimh.nih.gov/health/topics/caring-for-your-mental-health
Centers for Disease Control and Prevention (CDC) - Managing Stress:
https://www.cdc.gov/mental-health/living-with/index.html
Mayo Clinic - Mental Illness Symptoms and Causes:
https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/mental-illness/symptoms-causes/syc-20374968