เคตามีน (Ketamine) คืออะไร, ส่งผลต่อคุณอย่างไร, และข้อเสียมีอะไรบ้าง
กลไกทางวิทยาศาสตร์
แตกต่างจากยาแก้ซึมเศร้าทั่วไปที่ทำงานโดยการเพิ่มสารสื่อประสาท เช่น เซโรโทนิน, เคตามีนจะทำงานกับระบบ กลูตาเมต ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทชนิดกระตุ้นหลักของสมอง และมีบทบาทสำคัญในการเรียนรู้, ความจำ, และการทำงานของสมองโดยรวม เชื่อกันว่าเคตามีนช่วยฟื้นฟูการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาท (synaptic connections) ที่มักจะเสียหายในผู้ป่วยโรคซึมเศร้าได้อย่างรวดเร็ว นี่คือเหตุผลที่บางคนอาจรู้สึกดีขึ้นอย่างรวดเร็วหลังการรักษา บางครั้งภายในไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่วัน ในขณะที่ยาแก้ซึมเศร้าทั่วไปอาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์จึงจะเห็นผล
ผลกระทบของเคตามีน
ผลกระทบของเคตามีนจะแตกต่างกันไปตามปริมาณและวิธีการใช้ ในปริมาณต่ำ อาจทำให้รู้สึกผ่อนคลาย, มีความสุขเล็กน้อย, และรู้สึกแยกตัวออกจากร่างกายหรือสิ่งแวดล้อม นี่คือผลกระทบแบบ "dissociative" ที่เป็นที่มาของชื่อยา ในปริมาณที่สูงขึ้น ผลกระทบเหล่านี้อาจรุนแรงขึ้น นำไปสู่การหลอน, ความรู้สึกที่บิดเบี้ยวของเวลา, และการแยกตัวออกจากความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเป็นสภาวะที่มักถูกเรียกว่า "K-hole"
ในทางการแพทย์ เคตามีนมักจะถูกให้ในปริมาณที่ควบคุมอย่างระมัดระวัง โดยมักจะใช้การให้ทางหลอดเลือดดำ (IV) หรือสเปรย์พ่นจมูก เป้าหมายคือเพื่อกระตุ้นให้เกิดสภาวะ dissociative แบบอ่อน ๆ ซึ่งช่วยให้สมองสร้างเส้นทางประสาทใหม่ ๆ และหลุดพ้นจากรูปแบบความคิดเชิงลบที่เกี่ยวข้องกับโรคซึมเศร้า
การใช้ในทางที่ผิดในสถานบันเทิงยามค่ำคืน
เคตามีนกลายเป็น "ยาในคลับ" ยอดนิยมในหมู่คนหนุ่มสาวในสถานบันเทิงยามค่ำคืน เช่น คลับ, ปาร์ตี้ และเทศกาลดนตรี มักถูกขายในรูปของผงสีขาวที่สามารถสูดดมได้ หรือในรูปของของเหลวที่สามารถฉีดหรือผสมในเครื่องดื่มได้ ความนิยมของเคตามีนในสถานการณ์เหล่านี้มาจากการที่มันสามารถเพิ่มการรับรู้ทางประสาทสัมผัส เช่น เสียงดนตรีและแสงไฟ รวมถึงผลกระทบแบบ "แยกตัว" ทำให้ผู้ใช้รู้สึกเหมือนจิตใจแยกออกจากร่างกาย นำไปสู่ความรู้สึกเหมือนลอยอยู่ในความฝัน
อย่างไรก็ตาม การใช้เพื่อสันทนาการนี้มาพร้อมกับความเสี่ยงที่รุนแรง:
- "K-Hole": การใช้ในปริมาณสูงอาจนำไปสู่สภาวะที่แยกตัวออกจากความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง ซึ่งผู้ใช้จะขยับตัวไม่ได้และไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้า นี่อาจเป็นประสบการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวและทำให้บุคคลนั้นตกเป็นเหยื่อของการทำร้ายร่างกายและล่วงละเมิดทางเพศได้ง่าย 
- ยาที่ใช้ในการข่มขืน: ความสามารถของเคตามีนที่ทำให้เกิดภาวะความจำเสื่อมและไม่สามารถขยับตัวได้ ทำให้มันถูกนำไปใช้เป็นยาในการข่มขืน สามารถผสมในเครื่องดื่ม ทำให้เหยื่อไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น 
- การผสมกับสารอื่น ๆ: เคตามีนมักถูกผสมกับยาอื่น ๆ เช่น MDMA, โคเคน, หรือแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งและอาจนำไปสู่การใช้ยาเกินขนาดจนถึงแก่ชีวิตได้ เนื่องจากผลกระทบร่วมกันต่อระบบประสาทส่วนกลาง 
- ผลกระทบที่คาดเดาไม่ได้: ความบริสุทธิ์และความแรงของเคตามีนที่ได้มาอย่างผิดกฎหมายนั้นไม่สามารถทราบได้ ซึ่งอาจนำไปสู่ผลกระทบที่คาดเดาไม่ได้และเป็นอันตรายถึงชีวิต 
ข้อเสียและข้อควรระวัง
แม้ว่าเคตามีนจะมีแนวโน้มที่ดีในทางการแพทย์ แต่การใช้เพื่อสันทนาการนั้นเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ข้อเสียที่สำคัญที่สุดได้แก่:
- ความเสี่ยงในการใช้ในทางที่ผิดและการเสพติด: เคตามีนเป็นยาควบคุมและสามารถทำให้เกิดการเสพติดทางจิตใจได้ การใช้ในระยะยาวและในปริมาณสูงอาจนำไปสู่การพึ่งพิงทางจิตใจและวงจรของการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง 
- ผลข้างเคียง: ผลข้างเคียงที่พบบ่อยระหว่างการรักษา ได้แก่ อาการคลื่นไส้, เวียนศีรษะ, ความดันโลหิตสูง, และความสับสน ในบางกรณี ผู้ป่วยอาจมีอาการหลอนที่ไม่พึงประสงค์หรือ "bad trips" 
- ความเสียหายต่อกระเพาะปัสสาวะและทางเดินปัสสาวะ: การใช้เคตามีนเพื่อสันทนาการเป็นประจำมีความเชื่อมโยงกับความเสียหายรุนแรงต่อกระเพาะปัสสาวะและทางเดินปัสสาวะ ซึ่งเป็นภาวะที่เรียกว่า "กระเพาะปัสสาวะเคตามีน" อาการรวมถึงการปัสสาวะที่เจ็บปวดและบ่อยครั้ง และในบางกรณีอาจนำไปสู่ความเสียหายถาวรที่ต้องได้รับการผ่าตัด 
- ค่าใช้จ่ายและการเข้าถึง: การรักษาด้วยเคตามีนสำหรับปัญหาสุขภาพจิตยังไม่แพร่หลายมากนัก และอาจมีค่าใช้จ่ายสูงมาก เนื่องจากมักไม่ครอบคลุมโดยประกันสุขภาพ การรักษาจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ซึ่งทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 
ข้อควรทราบที่สำคัญ
การรักษาด้วยเคตามีนสำหรับปัญหาสุขภาพจิต ควร ได้รับการดูแลและควบคุมโดยผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่มีคุณสมบัติในสถานพยาบาลที่ควบคุมเท่านั้น ไม่ใช่ทางเลือกแทนการบำบัดแบบดั้งเดิมหรือการรักษาทางจิตเวชอื่น ๆ โปรดปรึกษาแพทย์เสมอเพื่อพิจารณาว่าการรักษานี้เหมาะสมกับคุณหรือไม่
References
Berman, R. M., et al. (2000). Antidepressant effects of ketamine in depressed patients. Biological Psychiatry, 47(4), 351–354.
Zarate, C. A., et al. (2006). A randomized trial of an N-methyl-D-aspartate antagonist in treatment-resistant major depression. Archives of General Psychiatry, 63(8), 856–864.
Galloway, P. E., et al. (2018). Ketamine-related bladder dysfunction. Current Opinion in Urology, 28(6), 576–581.
%20%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3,%20%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3,%20%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87.png)